คุณแอน วรรณประทีป ที่ปรึกษาด้านกฎหมายธุรกิจ และหุ้นส่วน บริษัท แอดลอว์ แอนด์ แอสโซซิเอท จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการ SMEs มักทำการซื้อ-ขาย สินค้าและบริการบนโลกออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากขั้นตอนการดำเนินการไม่ซับซ้อนและประหยัดเวลาทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ในทางกลับกันมิจฉาชีพในเงาผู้บริโภคเริ่มเข้ามาวนเวียนในการซื้อ-ขายบนตลาดออนไลน์ จึงทำให้ผู้ประกอบการกลายเป็นเป้าหมายสำคัญให้กลุ่มมิจฉาชีพล่อลวงในรูปแบบต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคขอภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ประกอบการที่ทำการสั่งซื้อสินค้าและบริการ แล้วอ้างว่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสั่งซื้อว่าจะไม่ถูกผู้ประกอบการบนโลกออนไลน์หลอกลวง ซึ่งหารู้ไม่ว่ามิจฉาชีพที่ทำทีเป็นลูกค้าจะนำข้อมูลบนบัตรประชาชนเหล่านั้นไปแอบอ้างในการธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โจรกรรมเงินในบัญชีธนาคารของผู้ประกอบการหรือที่รู้จักกันดีว่า “แฮกเกอร์ข้อมูล”

ดังนั้นเมื่อผู้ประกอบการถูกกระทำเช่นนี้ สามารถนำพระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 มาปรับใช้ในการเอาโทษมิจฉาชีพ ด้วย หมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบ (แฮกเกอร์ข้อมูล) ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เพราะฉะนั้นนอกจากผู้ประกอบการจะต้องเตรียมความพร้อมในการป้องกันมิจฉาชีพเพื่อไม่ให้มาช่อโกงในทุกๆรูปแบบแล้ว กฎหมายก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการปลอดภัยจากกลุ่มมิจฉาชีพ สิ่งต่างๆเหล่านี้ผู้ประกอบการควรศึกษากฎหมายเบื้องต้นในด้านกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรื่องการซื้อขาย กฎหมายอาญาในเรื่องความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ในเรื่องฐาน ฉ้อโกงประชาชน รับของโจร ยักยอกทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการท่านใดที่ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบของธนาคารออนไลน์ ควรให้ความสำคัญด้านกฎหมายเป็นที่สุด

ที่มา : http://www.smartsme.tv