ถึงโซเชียลมีเดียทั้งหลายแหล่นี้จะมีจุดเริ่มต้นมาแค่ประมาณ 10 ปีเท่านั้น แต่ถ้านับเฉพาะเฟซบุ๊คอย่างเดียวในปัจจุบันนี้ก็มีผู้ใช้งานมากถึง 1.71 พันล้านยูสเซอร์แล้ว แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด ซึ่งมันช่างล่อตาล่อใจให้ลงไปทำการตลาดด้วยจริง ๆ แต่เพราะไม่ใช่แค่คุณที่มองเห็นช่องทางทำเงินตรงนี้น่ะสิ ทุกคนบนโลกก็มองเห็นเช่นกัน ทำให้การแข่งขันบนนั้นโหดร้ายสุด ๆ แค่จะสร้างตัวตนให้ขึ้นมาเป็นที่จดจำก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่ขายสินค้าอะไรเลย ซึ่งถ้าคุณมัวแต่โพสต์สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ศึกษาให้ดีก่อนล่ะก็ ไม่มีทางที่จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้หรอกครับ

คุณต้องศึกษาองค์ประกอบที่จะช่วยให้โพสต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุ้มค่ากับหยาดเหงื่อ และแรงงานที่ทำลงไป ซึ่งหลักการของมันก็มีไม่มาก แค่ 3 ข้อเท่านั้น ถ้าอยากรู้แล้วว่ามันคืออะไรล่ะก็ ไปชมกันเลย

1. คอนเทนต์ต้องมีภาพ หรือไม่ก็วิดีโอ

เป็นอะไรที่จะเป็นมากเลยนะครับสำหรับการใช้ภาพประกอบคอนเทนต์ หรือวิดีโอเนี่ย ถ้าดูจากสถิติตัวเลขแล้วจะรู้เลยว่ามันจำเป็นขนาดไหน

โพสต์คอนเทนต์ที่มีรูปภาพจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงมากขึ้น 37%

บทความที่มีรูปภาพจะช่วยเพิ่มยอดวิวได้ 94%

รูปภาพสีจะช่วยให้คนตั้งใจอ่านคอนเทนต์มากขึ้น 80%

ยูสเซอร์ที่ดูวิดีโอ 1.81 ครั้ง มีโอกาสจะซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าคนที่ไม่ได้ดู

มีการคาดการณ์ว่า 74% ของทราฟฟิคบนโลกอินเทอร์เน็ตในปี 2017 จะมาจากวิดีโอทั้งสิ้น

เห็นมั้ยครับว่ามันสำคัญมากขนาดไหน ซึ่งรูปภาพหรือวิดีโอที่คุณจะใช้ก็ไม่ใช่ว่าจะอะไรก็ได้นะ อย่างน้อยมันต้องมีคุณภาพสูงระดับนึง เพื่อให้เกิดการสะดุดตา ซึ่งขนาดของรูปที่ดีที่สุดควรเป็น 1,200 x 620 พิกเซล และอย่าลืมเลือกรูปที่สัมพันธ์กับตัวคอนเทนต์ด้วยล่ะ

ส่วนเรื่องของวิดีโอนั้นตอนนี้ก็มีระบบไลฟ์เข้ามาแล้ว คุณอาจจะเริ่มจากการทำไลฟ์ก็ได้ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงและมีการตอบโต้กับเหล่าผู้ติดตามของคุณด้วย

2. ต้องมีลิงก์อยู่บนโพสต์เสมอ

องค์ประกอบที่ 2 ที่จะช่วยให้โพสต์ของคุณเพอร์เฟ็คต์ก็คือการแนบลิงก์ลงไปกับโพสต์นั้น ๆ ด้วยนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ทาง Facebook เค้าออกมาศึกษาและบอกผลลัพธ์กันเองเลยว่า ลิงก์มีผลต่อผู้ใช้งานจริง ๆ โดยลิงก์ที่ว่านี้อาจจะเชื่อมโยงมาจากเว็บไซต์ของคุณเอง หรือบล็อกก็ได้ครับ หลังจากโพสต์บนนั้นแล้วคุณก็ดึงมันมาแชร์บน Facebook อีกทีนึง

แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ต้องกด Debug ด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะโชว์แต่ลิงก์ รูปภาพก็ไม่ขึ้น แล้วจะทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้ากดแล้วก็ยังไม่โชว์รูปเต็ม ๆ อีกล่ะก็ ให้ลองกด “scrape again” จนกว่ารูปภาพ ชื่อเรื่อง หรือคำอธิบายของคอนเทนต์นั้นจะขึ้นครบ

และสุดท้ายก็มาถึงส่วนของการพาดหัวบน Facebook ก่อนโพสต์ลิงก์พวกนั้นลงไป ซึ่งบางคนก็บอกว่าเขียนน้อย ๆ จะดี พาดหัวสั้น ๆ พอ แต่ก็มีการศึกษาบางอันบอกว่า โพสต์ประมาณ 80 คำขึ้นไปจะช่วยเพิ่มยอดการมีส่วนร่วมได้เป็นเท่าตัวเลย อันนี้ก็ต้องไปลองดูกันเองล่ะครับว่าจะจริงมั้ย

3. ลงคอนเทนต์ให้ถูกที่ ถูกเวลา

ส่วนผสมสุดท้ายที่จะเนรมิตให้โพสต์ของคุณเพอร์เฟ็คต์ก็คือการตั้งเวลาโพสต์นั่นเองครับ ต่อให้คุณมีคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์แบบมากมายมหาศาลแค่ไหน แต่ถ้าคุณโพสต์มันผิดที่ ผิดเวลา ผิดวัน ศักยภาพของมันอาจจะลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่งเลยก็ได้ หรืออาจจะถูกกลบฝังไปด้วยคอนเทนต์บนหน้าฟีดแทน

มีการวิจัยบอกด้วยว่า 75% ของการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานจะเกิดขึ้นภายใน 5 ชั่วโมงแรกที่โพสต์ลงไป ดังนั้นนี่คือโจทย์แรกที่คุณต้องหาให้เจอ และคำนวณให้ดีว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณจะเริ่มออนไลน์ตั้งแต่ตอนไหนถึงตอนไหน ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของธุรกิจคุณแล้วล่ะครับ

แต่ถ้าใครไม่อยากจะไปนั่งวิเคราะห์ หรือไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ก็ลองเอาช่วงเวลาเหล่านี้ที่มีคนวิจัยกันมาแล้วว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการโพสต์ Facebook ไปใช้ดูก็ได้ครับ

QuickSprout รายงานว่า วันพฤหัสบดี และ วันศุกร์ ช่วงประมาณ 13.00 ถึง 15.00 คือ ช่วงที่ดีที่สุด

Microsoft พบว่า ช่วงวันพฤหัสบดี และ วันศุกร์ ประมาณ 13.00 ถึง 15.00 คือ รอบการโพสต์ที่ดีที่สุด

และสุดท้าย Hubspot ก็ออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า 13.00 ถึง 15.00 คือ เวลาโพสต์ที่ดีที่สุด

แต่ช่วงที่ทุกคนบอกว่าดีที่สุดนี้จะเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากแค่ไหน จะช่วยให้โพสต์ของคุณพุ่งขึ้นไปไกลเท่าไหร่ อันนี้ก็ต้องเอาไปลองดูเช่นกันครับ

ที่มา : http://www.bangkokbanksme.com