นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงการจัดเก็บภาษีของกรมในปีงบประมาณ 2561

กล่าวขนาดนี้พยายามเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น โดยในส่วนของ ภาษีผับบาร์ อย่างสถานบริการเต้นรำและกินดื่ม ประเภทไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับและบาร์ กำหนดเก็บภาษี 10% ของรายได้นั้น ก่อนหน้านี้ไม่เข้มงวดการจัดเก็บภาษีมากนัก ในธุรกิจสวนอาหาร ผับบางแห่ง เพราะอ้างว่าไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเพราะไม่มีฟลอร์เต้นรำตามที่กฎหมายระบุไว้

แต่หลังจากศาลตัดสินให้ซานติก้าผับต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต และซานติก้าไม่มีฟลอร์เต้นรำ ดังนั้น กรมจึงใช้คำตัดสินดังกล่าวในการเรียกเก็บภาษีกลุ่มนี้ต่อไป โดยร้านที่ต้องจ่ายภาษีต้องเข้าข่ายใน 3 เรื่องคือ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการแสดงดนตรีสดหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง และปิดให้บริการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา

การเก็บ ภาษีผับบาร์ สถานบริการเต้นรำและกินดื่มที่ผ่านมา

ภาษีไม่มาก แค่ระดับ 100 ล้านบาทต่อปี แต่กรมต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นการเพิ่มฐานของกลุ่มผู้เสียภาษีให้มากขึ้น โดยกลุ่มสวนอาหาร บาร์กลาง ที่ชอบอ้างว่าไม่มีฟลอร์เต้นรำ แต่ถ้ามีการแสดงดนตรีสด ขายเหล้า เบียร์ ปิดหลังเที่ยงคืน ต้องเสียภาษีสรรพสามิตเช่นกัน

ส่วนกรณีร้านสะดวกซื้อขายเบียร์สดนั้น ไม่ต้องขอใบอนุญาตการประกอบกิจการเบียร์สดจากกรมสรรพสามิต เนื่องจากเป็นเพียงการนำเบียร์สดมาใส่ถังบรรจุแล้วให้ผู้ขายกดจำหน่าย ซึ่งแตกต่างจากโรงงานเบียร์สดที่เป็นโรงงานขนาดย่อม ต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิต แต่กรมก็ไม่สนับสนุนให้ร้านค้าสะดวกซื้อจำหน่ายเบียร์สด หากผู้ประกอบการยังไม่ยุติการขายเบียร์สด กรมสรรพสามิตเตรียมออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการจำหน่ายเบียร์สดในร้านสะดวกซื้อ เหมือนการควบคุมการขายบุหรี่ ที่ต้องอยู่ในสถานที่มิดชิด

ที่มา : https://www.smartsme.co.th