ตัวเลขการสำรวจจากต่างประเทศบอกว่า SME ในช่วงปี 2016-2017 เกือบ 60% นั้นอ่อนแอเรื่อง Cyber Security เพราะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์แต่ไม่รู้ตัว อย่างที่บอกไปแล้วว่าก็ไม่น่าแปลกใจ แต่น่าตกใจเรื่องของตัวเลขที่มันมากมายขนาดนั้น ตัวอย่างจากการสำรวจของบริษัทประกันภัยอย่าง Nationwide ในสหรัฐอเมริกาที่สำรวจจากบริษัท 1,069 รายที่มีพนักงานน้อยกว่า 299 คน พบว่ามีเพียง 13% นั้นที่รู้ตัวว่าธุรกิจของตัวเองนั้นเจอเข้ากับการโจมตีจากการหลอกลวงฟิชชิ่ง ม้าโทรจัน จนถึง ransomware ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็น 58%

โลกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว การโจมตีทางไซเบอร์ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจยุคใหม่ที่การโจมตีก็ลามมาเกิดกับธุรกิจขนาดเล็กอย่าง SME มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ข่าวมักจะพูดถึงการโจมตีครั้งใหญ่ แต่มองอีกมุมความเสียหายที่มีมูลค่ามากก็ยังเกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดใหญ่เหมือนเดิม เพราะ SME ยังไม่ได้มีธุรกรรมอะไรที่มีมูลค่าสูงๆ แต่มองลึกๆ อีกทีก็น่ากลัวตรงที่ว่า SME มีจำนวนมาก และส่วนใหญ่แล้วข้อผิดพลาดก็จะเหมือนๆ กัน เมื่อรวมมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างในกรณีอย่าง WannaCry มันทำให้มูลค่าของความเสียหายโดยรวมก็ไม่ได้น้อยไปกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดใหญ่เลย

อีกตัวเลขที่ทาง Nationwide เปิดออกมาและน่าสนใจก็คือธุรกิจในสหรัฐนั้นต้องจ่ายเงินในการจัดการปัญหานี้เฉลี่ย 50,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,750,000 บาท) บวกกับระยะเวลาอีกประมาณ 6 เดือน เริ่มเห็นแล้วหรือยังว่ามันคือความเสียหายที่มีราคาและเสียเวลาบวกแรงงาน ที่ยังคิดไม่ถึงหากว่า SME ต้องเจอ ในประเทศไทยตัวเลขไม่ได้ชัดเจนแต่เชื่อว่าก็เป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อย จนเจ้าของธุรกิจ SME บางรายถึงกับคิดว่าจะกลับไปใช้ระบบการทำงานที่ไม่พึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายไซเบอร์ ซึ่งเวลานี้คงเป็นไปได้ยาก

ที่ยกตัวอย่างและตัวเลขนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้เห็นอีกครั้งว่า SME ต้องคิดถึงเรื่องของการป้องกันทางด้านไซเบอร์ให้มาก ให้คิดถึงเรื่องนี้เสมือนเป็นส่วนสำคัญอีกเรื่องในการทำธุรกิจ มีคำฝรั่งที่เขาบอกไว้ว่า “Think Security as your Core Business Plan” ให้มันกลายเป็นเหมือนกระบวนการหนึ่งในธุรกิจที่ต้องทำ เหมือนอย่างที่คุณต้องวางแผนการผลิตหรือการขายอะไรแบบนั้น

Cyber Security ของธุรกิจกลางและเล็กยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร

แล้ว SME ในไทยนั้นจะนำเอาเรื่องของความปลอดภัยไซเบอร์นั้นมาวางเป็นกลยุทธทางธุรกิจได้อย่างไร เรามามองดูปัจจัยที่สร้างปัญหาอย่างที่แรกที่ SME นั้นทำเรื่องนี้ได้ยากก็คือเรื่อง ต้นทุน ที่จะนำมาใช้กับเรื่องนี้ ธุรกิจไม่ใช่แค่ SME ที่ส่วนใหญ่ยังมองการลงทุนด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะไอทีนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบของธุรกิจ มีผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจไอทีเคยบอกว่าคนทำธุรกิจไทยวันนี้ดูเรื่องไอทีดีขึ้นลงทุนเยอะขึ้น แต่ในนั้นเรื่องของการลงทุนกับเรื่องปกป้องความปลอดภัยในการใช้งานนั้นยังไม่ถึง 1% จากงบของการลงทุนด้านไอที ซึ่งในทางกลับกันแง่มุมนี้ในต่างประเทศเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก

หากเจ้าของธุรกิจ SME เกิดอยากจะหาโซลูชั่นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ดีๆ มาใช้เป็นหลักและเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจ แต่ติดที่ว่ามีงบที่ไม่สามารถลงทุนได้มากมาย วันนี้ก็มีทางเลือกใหม่เกิดขึ้นมาแล้วคือการเช่าใช้ระบบโดยที่ไม่ต้องลงทุนมหาศาลด้วยตัวเอง เราอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับแนวคิดแบบ Security-as-a-Service

บริการแบบนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น มาเลเซียหรือสิงคโปร์ ยกตัวอย่างเช่น SingTel เปิดให้บริการดูแลด้านความปลอดภัยให้กับธุรกิจ SME ที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตของตัวเองในลักษณะบริการเสริมที่จ่ายเงินเพิ่ม หรือบริการแยกที่ธุรกิจสามารถเลือกใช้งานได้

สำหรับในประเทศไทยเริ่มมีผู้ให้บริการเตรียมให้บริการในลักษณะเดียวกันนี้ อย่างเช่น CSLoxinfo, AIS และ True Business รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายรายย่อมลงมาอย่าง FiberOne ที่เริ่มให้บริการกับลูกค้าที่ใช้บริการเครือข่ายไฟเบอร์ภายในอาคาร โดยที่ผู้ให้บริการอย่าง CSLoxinfo และ AIS นั้นเลือกให้บริการด้วยโซลูชั่นระดับโลกจากทาง PaloAlto Networks ซึ่งถือว่าเป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ดีและมีชื่อเสียง

สรุปก็คือว่า หาก SME ไทยไม่อยากกลายเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์ นอกจากการคิดในเรื่องของการป้องกันให้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักในการทำธุรกิจเหมือนอย่างเรื่องการผลิตและการตลาด การเลือกโซลูชั่นที่ดีและเหมาะสมแถมด้วยระบบที่มีความสามารถสูงมาใช้นั่นคือการลงรายละเอียดของการทำให้นโยบายนั้นเป็นจริงได้

เลือกเอาว่าธุรกิจ SME ของคุณจะอยู่ใน 58% ของเหยื่อที่โดนภัยไซเบอร์เล่นงาน หรือจะอยู่ในส่วนที่เหลือลอยตัวจากปัญหานี้แล้วเอาเวลาไปพัฒนาธุรกิจด้านอื่นเพื่อสร้างความเติบโตของธุรกิจ

ที่มา : https://smarttech.smartsme.co.th