10 ปัจจัยมาแรงที่มีผลต่อธุรกิจ 2017

Last updated: 6 ม.ค. 2560  |  1549 จำนวนผู้เข้าชม  | 

10 ปัจจัยมาแรงที่มีผลต่อธุรกิจ 2017

Ian Altman ยังระบุอีกว่า องค์กรหลาย ๆ องค์กรจำเป็นต้องเริ่มนำแนวโน้มเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมแต่ละบริษัท และเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อรับมือกับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ด้าน 10 การดำเนินรูปแบบธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต Ian Altman ได้อธิบายเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

1.ผู้เชี่ยวชาญการขายระดับ Rainmakers
Rainmakers หมายถึง นักขายที่มีคุณสมบัติ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Rapport) ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของลูกค้า (Aspirations and Afflictions) ตอบปัญหาได้ว่าเหตุใดลูกค้าถึงซื้อหรือไม่ซื้อสินค้า (Impact) และทำให้ลูกค้าได้ประโยชนสูงสุดจากการซื้อสินค้า (New Reality) ซึ่งจากทักษะเฉพาะของเหล่า Rainmakers ที่มีความเข้าใจ และสามารถช่วยเหลือแนะนำแนวทางในการสร้างให้องค์กรธุรกิจเติบโตได้ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญสูงมากในปี 2017

2.Crowdfunding จากการระดมเงินทุนทำธุรกิจที่สะอาดโปร่งใส
Crowdfunding เติบโตขึ้นมากมายจากทั่วโลก ทำให้เหล่านักลงทุนที่เป็น Venture Capital กลายเป็นกระแสมากที่สุดจนจบปี 2016 ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนด้านการตลาดอย่าง Clay Hebert ระบุว่า บริษัทที่สามารถทำ Crowdfunding ไม่เพียงแต่ทำให้องค์กรขยายตัวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความรอบคอบในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนลงทุนเพิ่มเติมอย่างมีนัยยะสำคัญ

3.เกิดการรวมกันระหว่าง Sales และ Content Marketing อย่างเต็มรูปแบบ
องค์กรธุรกิจที่จะตอบสนองต่อลูกค้าจากการทำวิจัยทางการตลาด โดยใช้การบูรณาการระหว่าง Sales และ Content Marketing ได้ จะกลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งเป้าหมายของการบูรณาการ Sales และ Content Marketing นั้นจะต้องทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ลดความเสี่ยง สะดุดตา และใช้กลยุทธ์ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของลูกค้า

4.80% ของการสำรวจจาก Forbes บอกว่าคนส่วนใหญ่กำลังชม Video อยู่!
ผลจากการศึกษาของ Forbes ระบุว่า วิดีโอจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแหล่งข้อมูลในการทำการตลาดของเหล่าผู้บริหาร เนื่องจากผู้คนกว่า 80% บอกว่าพวกเขากำลังรับชมวิดีโอออนไลน์มากขึ้นในปัจจุบัน และ 3 ใน 4 ของผู้บริหารจากการสำรวจกล่าวว่าพวกเขาจะรับชมวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบนเว็บไซต์และบนเว็บไซต์ยูทูปอย่างน้อยทุกสัปดาห์

5.เทคโนโลยีการสื่อสารภายในองค์กรรูปแบบใหม่จะแทนที่ E-Mail
การสื่อสารภายในองค์กรผ่านรูปแบบแอปพลิเคชัน Slack จะเข้ามาแทนที่ E-Mail ซึ่ง Ian Altman อธิบายว่า Slack เป็นรูปแบบเครื่องมือสื่อสารภายในองค์กรที่ได้รับความร่วมมือระหว่าง Slack และ Google Cloud โดยมีรูปแบบการใช้งานครอบคลุม Drive Bot แจ้งการแก้ไขเอกสารในห้องสนทนา การแชร์ไฟล์ใน Slack แล้วสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์ตามที่แชร์ การสำรองไฟล์ใน Slack เข้า Team Drives อัตโนมัติ การพรีวิวเอกสารจาก Google Drive ใน Slack การเปิดบัญชีของทีมจาก G Suite การโทร และโทรแบบออกกลุ่ม การวิดีโอคอล และวิดีโอคอลแบบกลุ่ม

6.ธุรกิจที่มีหน้าร้านจะเริ่มพัฒนาทักษะมากขึ้น
ในปี 2017 อาจกลายเป็นฝันร้ายของธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ได้ หากปราศจากทักษะในการนำเสนอสินค้าที่สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ อย่างเช่นการนำเสนอสินค้าผ่านระบบออนไลน์ เนื่องจากลูกค้าในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นหาสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจที่มีหน้าร้านออฟไลน์อาจจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับ Amazon หรือเว็บไซต์ขายของออนไลน์อื่น ๆ

7.ผู้เชี่ยวชาญด้านประสานงานขาย
ต้องยอมรับว่า SME นั้นยังขาดความเข้าใจ และทักษะเฉพาะตัวที่จะสามารถผลักดันให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้โดยปราศจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านประสานงานขาย เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวสามารถช่วยให้ SME มีความเข้าใจลูกค้า และยังทำหน้าที่ประสานงานต่อ ซึ่งหากขาดผู้เชี่ยวชาญด้านประสานงานขายอาจทำให้ SME พลาดโอกาสที่จะสร้างรายได้ดั่งการทำธุรกิจรูปแบบเดิมที่ผ่านมา

8.สร้างสินค้าให้จำเพาะมากขึ้น
Ian Altman ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่จำเพาะมากขึ้นว่า “เมื่อคุณเข้าร้านอาหาร คุณไม่ต้องการสั่งอาหารที่คนส่วนใหญ่ชอบ แต่คุณต้องการสั่งอาหารที่คุณอยากกิน” ซึ่งความหมายของ Ian คือ สินค้าที่มีความ Mass Market ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่ต้องการซื้อสินค้าจริง ๆ

9.รูปแบบการชำระเงินที่ผ่อนคลาย
รูปแบบการชำระเงินที่ผ่อนคลาย และสร้างทางเลือกการชำระเงินหลายระยะเวลาตามฐานเงินได้ประจำ จะช่วยให้ทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น
Ian Altman ยกตัวอย่างของเครือข่ายให้บริการอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ อย่างT-Mobile ที่มีราคาถูกกว่าเครือข่ายอื่น ๆ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มีส่วนแบ่งการตลาดไม่มากอย่างผู้ที่เดินทางเข้ามาอยู่ในสหรัฐอเมริการะยะสั้น เช่น 1-3 เดือน หรือ ไม่ถึง 2 ปี

10.Millennials นี่แหละคือ Leadership
Millennial Generation กลายเป็นตัวแทนของกระแสที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว (ในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งบริษัทที่จะเติบโตต่อไปได้จะต้องพัฒนาองค์กรนำจุดแข็งของ Millennials เข้ามาชดเชยจุดที่ขาดของคนยุคเดิม โดยไม่ลืมที่จะพัฒนาคนยุคเดิมที่ผ่านมาให้ทำงานร่วมกันกับกลุ่ม Millennials

ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการขายและการพัฒนาธุรกิจ ยังกล่าวถึงแนวคิดที่น่าสนใจของกลุ่ม Millennials ที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่าว่า “คุณไม่สามารถใส่ความเป็นผู้นำให้กับคนที่มีแนวคิดว่าจะต้องพัฒนาตัวเองถึง 10 ปี ถึงจะมีความต้องการเป็นผู้นำ แต่หากคุณต้องการจะประสบความสำเร็จตอนนี้ กลุ่ม Millennials คือการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะพวกเขาคือผู้นำแห่งการพัฒนาในยุคปัจจุบัน”

ที่มา : http://www.bangkokbanksme.com/

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

(MOBILE TECHNOLOGY

5 ก.ย. 2561

Call to Action

16 ก.ย. 2561

GooGreen START UP

16 ก.ย. 2561

Powered by MakeWebEasy.com